Mekha News (มีค่านิวส์) : เว็บไซต์ข่าว ที่จะนำเสนอข่าวสารเพื่อรักษาสิทธิให้กับคุณ

สภาเภสัชกรรม เสนอรัฐบาลแก้ปัญหาผลิต “ยาฟาวิพิราเวียร์”

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ทวีจำนวนผู้ป่วยและเพิ่มความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดแนวโน้มในการขาดแคลนของยา ที่ใช้ลดความรุนแรงของผู้ป่วย มีค่า นิวส์ ทราบว่า ทางสภาเภสัชกรรม ได้ออกแถลงการณ์นำเสนอนโยบายเร่งการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในไทย ดังนี้

สภาเภสัชกรรมขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการเร่งการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในไทย เพื่อสนองตอบความต้องการของการรักษาชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ถึงเดือนละประมาณ 30 ล้านเม็ด

นโยบายที่เร่งด่วน

1.ปรับขั้นตอนการอนุมัตินำยาออกสู่ตลาดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ทำคู่ขนานไปกับการกระจายยาสู่ตลาด เพื่อให้สามารถเร่งยาออกสู่ตลาดเร็วขึ้น

2.ในสถานการณ์ฉุกเฉินและเร่งด่วน เร่งรัดให้มีการผลิตยาทั้งหมดภายในประเทศ แทนการนำเข้า ทำให้เกิดความมั่นคงทางยา โดย

2.1 ให้องค์การเภสัชกรรมจ้างโรงงานอุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต ช่วยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ขององค์การเภสัชกรรมที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้ว เพื่อให้ได้เดือนละ 30 ล้านเม็ด หรือ

2.2 ถ้าองค์การเภสัชกรรมจะผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ทั้งหมดเอง เดือนละ 30 ล้านเม็ด ซึ่งจะกระทบกำลังการผลิตยาจำเป็นอื่น ๆ องค์การฯ จึงควรมีแผนการในการผลิตและประกาศรายการยาที่จะให้โรงงาน

อุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศช่วยผลิตยาจำเป็นอื่น ๆ ทดแทน เพื่อป้องกันการขาดยาจำเป็นรายการอื่น

ความต้องการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น

สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 มีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ความต้องการยาฟาวิพิราเวียร์เพิ่มมากขึ้น ถ้ามี ผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่วันละสองหมื่นคน ซึ่งต้องใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 50-70 เม็ดต่อคน จึงต้องการยาประมาณ 2 ล้านเม็ดต่อวัน หรือ 30 ล้านเม็ดต่อเดือน และความต้องการจะเพิ่มขึ้น ถ้าประเทศยังไม่สามารถคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มมีปัญหาความตึงตัวของปริมาณยาในประเทศ ทำให้ต้องทยอยกระจายยาให้ผู้ป่วย

นโยบายที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางยา ของยาฟาวิพิราเวียร์

สถานการณ์การระบาดยังเพิ่มขึ้นตลอดเวลา รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการสำรองยา และเมื่อองค์การเภสัชกรรมได้ทำการวิจัยและพัฒนาจนสามารถผลิตยานี้ใด้ และได้ผ่านขั้นตอนการขึ้นทะเบียนดำรับยาแล้ว รัฐบาลควรกำหนดนโยบายเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางยา เร่งรัดการผลิตยาทั้งหมดภายในประเทศทดแทนการนำเข้า ทำให้สามารถลดคำใช้จ่ายการนำเข้ายาฬาวิพิราเวียร์ที่มีราคาค่อนข้างสูงได้ส่วนหนึ่ง ทำให้เกิดการสร้างงานและแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วย

ปรับมาตรการในการอนุมัติยาออกสู่ตลาดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้ยาของผู้ป่วย สามารถเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบควาถูกต้องของวิธีการผลิตที่ต้องดำเนินการร่วมกันทั้งองค์การเภสัชกรรม โรงงานผลิตยา และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยขอให้กระจายยาออกสู่ตลาดคู่ขนานกับกรพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้ยาออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้นแต่ก็ไม่ส่งผลต่อคุณภาพยา

การผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ทั้งหมดภายในประเทศ ทดแทนการนำเข้า

ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมเตรียมการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (200 มิลลิกรัมต่อเม็ด) ซึ่งเบื้องต้นกำลังการผลิตจะผลิตได้ประมาณ 2-4 ล้านเม็ดต่อเดือน ที่โรงงานผลิตยา ถนนพระราม 5 โดยมีแผนจะขยายกำลังการผลิตไปยังโรงงานผลิตยาที่จังหวัดปทุมธานี คงต้องใช้เวลาอีกนานพอควร ซึ่งจะไม่ทันสถานการณ์และไม่สามารถรองรับความต้องการภายในประเทศได้ทั้งหมด

ในช่วงนี้ที่มีความจำเป็นในการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์จำนวนมากอย่างเร่งด่วน องค์การเภสัชกรรม สามารถจ้างให้โรงงานผลิตยาในประเทศที่มีศักยภาพ ช่วยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ขององค์การเภสัชกรรมไปพร้อมกัน การที่จะรอให้โรงงานอื่น ทำการวิจัยและขึ้นทะเบียนตำรับยาเพื่อผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ของตนเองต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี ทำให้ไม่ได้ใช้ศักยภาพของอุตสาหกรรมยาที่มีในประเทศให้เป็นประโยชน์

สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลรีบประกาศนโยบาย 2 เรื่อง ในสถานการณ์ฉุกเฉินและเร่งด่วนจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยานี้ได้ คือ

 1.ปรับขั้นตอนการอนุมัตินำยาออกสู่ตลาดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยทำคู่ขนานไปกับการกระจายยาสู่ตลาด

 2.สนับสนุนการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ทั้งหมดภายในประเทศ ทดแทนการนำเข้า ทำให้เกิดความมั่นคงทางยา

Exit mobile version