Site icon Mekha News (มีค่านิวส์) : เว็บไซต์ข่าว ที่จะนำเสนอข่าวสารเพื่อรักษาสิทธิให้กับคุณ

ถอดเทปนายกรัฐมนตรี! เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว

ถอดเทปนายกรัฐมนตรี! เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงการณ์สำคัญ” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทรท. ความยาวประมาณ 15 นาที ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” ระบุว่า   

“หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เราได้ผ่านความท้าทายที่หากไม่นับช่วงเวลาศึกสงคราม นี่ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่มีใครในประเทศ ไม่ได้รับผลกระทบ และเช่นเดียวกัน ก็ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่ไม่ได้รับผลกระทบ

ที่ผ่านมา เป็นความหนักใจที่สุดในชีวิตของผมเองด้วย ที่ต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างปกป้องชีวิตคน กับปกป้องการทำมาหากิน เป็น 2 ทางเลือกที่ไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้ เมื่อเราเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน เรากลับต้องทำให้ชีวิตเหล่านั้นพบเจอกับความยากลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีวิต ต้องอยู่อย่างไม่มีรายได้ หรือหากเราเลือกที่จะปกป้องการทำมาหากินตามปกติของประชาชน เราก็คงต้องเจอกับการสูญเสียชีวิต ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัวเรา

การต้องเจอกับทางเลือกแบบนี้ ทำให้เราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ช้าไม่ได้ และเราทำแบบ รอดูสถานการณ์ก่อน ไม่ได้ ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มที่เราต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผมเลือกที่จะไม่ยอมให้มันมาพรากเอาชีวิตของพี่น้องคนไทยไป เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

เพราะฉะนั้น ผมได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแน่วแน่ ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยมของเรา ที่มีอยู่มากมายหลายท่าน เราลงมือทำอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนคนไทย

ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม เผชิญหน้ากับวิกฤตที่เกิดขึ้น วันนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน

ด้วยความเสียสละอย่างมหาศาล อดทนเจอกับความยากลำบากในการทำมาหากิน สูญเสียรายได้ สูญเสียเงินเก็บ ธุรกิจพัง สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พวกเราแลกไป เพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนของเราเอาไว้ ให้พวกเค้ายังคงอยู่กับเราในวันนี้

วันนี้ ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย กำลังค่อย ๆ ลดลง ถึงแม้ว่า ความเสี่ยงนั้นจะยังมีอยู่ และเรา ยังต้องระวัง รักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ของเราอยู่ก็ตาม

ตอนนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องค่อย ๆ เตรียมตัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโควิด-19 โดยมีความพร้อมเรื่องยารักษาและวัคซีนป้องกัน มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นาน เราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมัน เหมือนกับโรคภัยอื่นๆ ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น

วันนี้ ผมอยากประกาศ หนึ่งก้าวเล็ก ๆ แต่เป็นก้าวที่สำคัญ ที่เรากำลังจะเดินหน้า บนเส้นทางที่จะช่วยให้พี่น้องประชาชน สามารถกลับมาทำมาหาเลี้ยงตัวเองกันได้อีกครั้ง

ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย ต่างค่อยๆ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนของเค้า เดินทางได้ โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมาย อย่างเช่น อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรือ อย่าง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไข ในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน

ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ เราเอง แม้ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อไม่ให้เสียโอกาส ที่อย่างน้อย เราจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาได้บ้าง ในช่วงเทศกาลเดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปี ใน 3 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทำมาหากินของประชาชนนับล้าน ๆ คน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่น อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง

เพราะฉะนั้น วันนี้ ผมได้สั่งการ เร่งให้ ศบค และ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา ภายในสัปดาห์นี้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่เรากำหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ

เราจะขอเพียงแค่ เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทำการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทำได้

ในเบื้องต้น เราเริ่มต้นกำหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำ ที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยเราตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้นอีก ภายในวันที่ 1 ธันวาคม และหลังจากนั้น ภายในวันที่ 1 มกราคม เราจะเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้น อย่างกว้างขวาง

ส่วนผู้ที่มาจากประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำ เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศไทย แต่จำเป็นต้องมีการกักตัว ตามเงื่อนไขและข้อกำหนด

พร้อมกันนี้ ภายในวันที่ 1 ธันวาคม เราจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากำลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่

ผมรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยง ที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเราเริ่มต้นการผ่อนคลายต่าง ๆ จะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็นการชั่วคราว ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่า เราจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร เราต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาส ในช่วงเวลาทอง ของการทำมาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผมคิดว่าประชาชนคงรับมือไม่ไหวอีกต่อไป

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเห็นว่า ในสองสามเดือน หรือสี่เดือนข้างหน้า มีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายมาก ๆ เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่า เราก็ต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดี มาจัดการคุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้ เมื่อเรารู้ว่า ไวรัสนี้ได้ทำให้ทั่วทั้งโลกต้องตกใจมาแล้วหลายรอบ ดังนั้น เราต้องพร้อมรับมือ หากมันเกิดขึ้นอีก

เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้ตั้งเป้าที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมกับเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน

วันนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้ ชื่นชมความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงาน ส่วนงานอื่น ๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สำหรับความร่วมมือของทุกท่าน ที่ตอบสนองต่อคำร้องขอ ของผม เมื่อเดือนมิถุนายน

หลังจากที่เราตั้งเป้า 120 วัน ก็ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ทำทุกวิถีทางเพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น และแย่งชิงกับประเทศอื่น เพื่อให้เราได้รับส่งมอบวัคซีนเข้ามา ซึ่งทั้งหมดนี้ เราประสบความสำเร็จอย่างมาก การรับส่งมอบวัคซีนของประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึง 3 เท่าในทันที จากที่เดือนพฤษภาคม เราได้รับส่งมอบวัคซีน 4 ล้านโดส กลายเป็น เราได้รับส่งมอบวัคซีน ถึง 12 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม และได้รับส่งมอบวัคซีน อีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้ เราจะได้รับส่งมอบวัคซีนเข้าประเทศไทย ถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจำนวนมากกว่า 170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้เป็นอย่างมาก

ในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะสนับสนุนเป้าหมาย 120 วัน เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขได้ทำงานกันอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย เร่งเครื่องการฉีดวัคซีน รวมทั้งพี่น้องประชาชน ต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สะดวกสบายในเรื่องของการนัดหมายบ้างก็ตาม ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ จากเดิมที่เราฉีดวัคซีนได้อยู่ที่ประมาณ 80,000 โดสต่อวัน เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่หลังจากการตั้งเป้า 120 วัน เพียงหนึ่งเดือน จำนวนการฉีดวัคซีนต่อวันของประเทศไทย พุ่งขึ้นทันที ทีมสาธารณสุขของไทย ดันยอดการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และดันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก ปัจจุบัน เฉลี่ยแล้ว เราฉีดวัคซีนได้มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และในบางวัน เราฉีดวัคซีนได้มาก เกินกว่า 1 ล้านโดสก็ยังมี

ภายหลังการตั้งเป้า 120 วัน เปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว เมื่อกลางเดือนมิถุนายน เพียงไม่นาน ทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า ที่ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมาก ทั้งโลก ในช่วงเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับในประเทศไทย ตอนนั้น หลายคน คงทำใจแล้วว่า เราไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัวได้ ภายในปีนี้

ตอนนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลต้าอยู่ แต่การที่เรา กำลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป การที่เราทำแบบนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จ ของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทำงาน ด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถภูมิใจได้ กับการมีส่วนร่วม ที่ทำให้ความสำเร็จนี้เกิดขึ้น และเกิดขึ้นถูกเวลา เพราะเป็นช่วงเวลาพร้อม ๆ กับที่ประเทศอื่นเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขและข้อจำกัด ในการเดินทางของประชาชนของเค้าด้วยเหมือนกัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่เราจะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว”

ขอบคุณครับ

Exit mobile version