นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง จนทำให้สถานประกอบกิจการบางแห่ง จำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมด หรือ บางส่วนชั่วคราว กระทรวงแรงงาน จึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือ โดยได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานลงพื้นที่สำรวจสถานประกอบกิจการที่เกิดผลกระทบจากอุทกภัย
พร้อมทั้งชี้แจง แนะนำ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งหากสถานประกอบกิจการที่เครื่องจักร อุปกรณ์ ฯลฯ ได้รับความเสียหาย ระหว่างน้ำท่วมขัง หรือ ภายหลังน้ำลด นายจ้างมีความจำเป็นต้องหยุดการผลิตหรือหยุดการให้บริการ นายจ้างสามารถหยุดกิจการชั่วคราวทั้งหมดหรือบางส่วนได้ โดยจ่ายเงินให้ลูกจ้าง ในระหว่างที่ไม่ให้ลูกจ้างทำงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75
ทั้งนี้ ในระหว่างที่สถานประกอบกิจการหยุดกิจการชั่วคราว ลูกจ้างสามารถไปทำงานกับนายจ้างอื่น เพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้ ไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากตามมาตรา 75 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ไม่ได้บัญญัติห้ามไม่ให้ลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างรายอื่นในระหว่างหยุดกิจการ ดังนั้น ลูกจ้างจึงมีสิทธิไปทำงานกับนายจ้างรายอื่น หารายได้เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม หากนายจ้างมีสัญญา หรือ ข้อบังคับห้ามลูกจ้างมิให้ทำงานกับนายจ้างรายอื่น ซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของนายจ้าง ในระหว่างยังเป็นลูกจ้าง สัญญาหรือข้อตกลงเช่นนี้ ยังคงบังคับได้ เมื่อลูกจ้างทำผิดสัญญาหรือข้อตกลง ลูกจ้างอาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการทำผิดสัญญาให้นายจ้าง
แต่ถ้านายจ้างไม่มีข้อตกลงหรือสัญญาห้ามไว้ แล้วลูกจ้างไปทำงานกับนายจ้างรายอื่น ระหว่างหยุดกิจการชั่วคราว แล้วนายจ้างนำเหตุดังกล่าวมาเลิกจ้างลูกจ้าง หรือ นายจ้าง ระบุในสัญญา หรือ มีข้อตกลงให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง เช่นนี้ นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย เพราะการเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าว ไม่ถือว่าลูกจ้างทำความผิด