นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง จนทำให้สถานประกอบกิจการบางแห่งจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนชั่วคราวหรือต้องเลิกกิจการ ซึ่งส่งผลกระทบให้มีการเลิกจ้างลูกจ้าง โดยนายจ้างบางรายประสบปัญหาทางเศรษฐกิจไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างได้ตามกฎหมาย
กระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยและกำชับให้ดูแลลูกจ้างให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงได้ตามกฎหมาย จึงมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานตรวจสอบกรณีมีการเลิกจ้างให้คุ้มครองสิทธิของลูกจ้างอย่างเต็มที่ หากนายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ผลกระทบจากการประสบอุทกภัย หรือกรณีเลิกจ้างลูกจ้างโดยมิได้กระทำผิด และไม่จ่ายเงินชดเชยหรือเงินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ต้องชี้แจงให้ลูกจ้างทราบว่า ลูกจ้างมีสิทธิยื่นขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้ ตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกจ้าง
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์ อัตราเงินที่จะจ่ายและระยะเวลาการจ่าย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าถึงสิทธิการขอรับเงินสงเคราะห์อย่างทั่วถึง
ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นกลไกที่กระทรวงแรงงานจัดตั้งขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกจ้างกรณีถูกเลิกจ้างลูกจ้างโดยมิได้กระทำผิด และไม่จ่ายเงินชดเชยหรือเงินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564 คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้อนุมัติจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกจ้างแล้ว จำนวน 5,381 คน เป็นเงินกว่า 80.373 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างกรณีไม่ได้รับค่าชดเชยหรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น ค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นต้น สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์สายด่วน 1546 หรือ 1506 กด 3