Site icon Mekha News (มีค่านิวส์) : เว็บไซต์ข่าว ที่จะนำเสนอข่าวสารเพื่อรักษาสิทธิให้กับคุณ

จุฬาฯ เดินหน้าทดลอง วัคซีน ChulaCov-19 ในมนุษย์ระยะ 3 หลังผลทดลองระยะ 2 กระตุ้นทีเซลล์สูงกว่าไฟเซอร์ 2 เท่า! เตรียมยื่นอย. ขึ้นทะเบียนรับรองกลางปี 65

วัคซีน ChulaCov-19 เตรียมทดลองในมนุษย์ระยะ 3 ก่อนขึ้นทะเบียน อย. กลางปี 65

ความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีน ChulaCOV-19 ซึ่งทดลองในสัตว์ทดลอง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เริ่มทดลองในอาสาสมัคร (อส.) ระยะที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 64 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดแอนตี้บอดี้ ได้สูงเทียบได้กับวัคซีน mRNA เช่น Pfizer/BNT อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://mekhanews.com/2021/08/17/chulacov-19-vaccine-test-results-found-to-stimulate-immunity-as-much-as-pfizer-vaccination/

ล่าสุด นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า กำลังจะเข้าสู่การทดสอบระยะที่ 3 ซึ่งได้มีการผลิตวัคซีนบรรจุขวด และรอตรวจประกันคุณภาพ หากเป็นไปตามแผนจะสามารถเปิดรับอาสาสมัครประมาณก่อนสิ้นปี 2564 เริ่มฉีดวัคซีนช่วงต้นปี 2565 ถึงประมาณเดือน มี.ค. 2565 มีการวิเคราะห์ข้อมูลช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2565 และจะมีการรวบรวมข้อมูล เพื่อส่งเอกสารขึ้นทะเบียนในภาวะฉุกเฉินกับองค์การอาหารและยา (อย.) ประมาณช่วงกลางปีต่อไป

ทั้งนี้ หากสามารถขึ้นทะเบียนสำเร็จ จะต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขของ อย. ก่อนจะทดสอบระยะที่ 4 จะต้องติดตามอาสาสมัครคนไทยเพิ่มอีก 30,000 คน เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน อย่างไรก็ดี ช่วงต้นปีหน้าจะเหลือประชากรที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจำนวนน้อยมาก จึงต้องมีการวิจัยฉีดวัคซีนเป็นเข็มกระตุ้น หรือ เข็ม 3 เข็ม 4 รองรับประชากรในประเทศที่ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนไปแล้ว พร้อมทั้งเตรียมทดสอบในอาสาสมัครที่อายุน้อยลง ได้มีการเตรียมความพร้อมวัคซีนรุ่น 2 และรุ่น 3 โดยขณะนี้ได้มีการทดลองในหนูแล้ว

ส่วนผลการทดสอบ หลังทดลองฉีดอาสาสมัคร (อส.) ในระยะ 2 พบว่า วัคซีน ChulaCov-19 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดแอนตี้บอดี้ได้สูงเทียบกับวัคซีนชนิด mRNA และการกระตุ้นภูมิจะสูงขึ้นหากฉีดในปริมาณมาก ในขณะเดียวกันสามารถกระตุ้นทีเซลล์ได้สูงกว่าวัคซีนไฟเซอร์ ถึง 2 เท่า และป้องกันสายพันธุ์ได้หลากหลายทั้งอัลฟา เบตา เดลตา โดยผลข้างเคียงหลังการฉีดเข็มที่ 2 พบบางรายมีอาการไข้เล็กน้อย และยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงอย่างอาการลิ่มเลือด

อย่างไรก็ดี อยากให้เผื่อใจเรื่องวัคซีนไว้ด้วย เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนานี้ คือ มาตรฐานต้องขึ้นทะเบียนในประเทศอื่นได้ และอยู่ในลิตส์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) หลังขึ้นทะเบียนในไทยแล้ว ในขณะเดียวกันประเทศไทยต้องหยุดคิดเรื่องการทดแทนการนำเข้า ไม่บีบบังคับให้รัฐใช้ของประเทศไทย 100% แต่ให้ประชาชนอยากใช้วัคซีนของไทย เพราะเป็นของดีจริง ๆ

สำหรับงบประมาณจากรัฐที่ได้รับการอนุมัติในการใช้วิจัย และผลิตวัคซีน ChulaCov-19 จำนวน 2,300 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1,300 ล้านบาท ใช้พัฒนาวัคซีนในการวิจัยในอาสาสมัคร และอีก 1,000 ล้านบาท ใช้ในการจัดหาวัตถุดิบ และการผลิต เพื่อรองรับหากสามารถขึ้นทะเบียนได้แล้ว ก็จะสามารถผลิต และเริ่มฉีดวัคซีนได้เลย

ด้านผศ.ภญ.สุธีรา เตชคุณวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด เปิดเผยความคืบหน้าของวัคซีนจุฬาฯ – ใบยา ชนิดโปรตีนซับยูนิตสกัดจากใบพืชชนิดแรกของไทยว่า ได้มีการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ในเดือน ก.ย. 64 และอยู่ในช่วงการติดตามความปลอดภัย ส่วนผลการกระตุ้นภูมิคุ้มกันต้องติดตามหลังการฉีด 50 วัน ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีความปลอดภัย และไม่มีอาการรุนแรงใด ๆ ประกอบกับยังไม่มีรายงานเรื่องอาการลิ่มเลือด

ขณะนี้เริ่มเปิดรับอาสาสมัครกลุ่มอายุ 61-75 ปี เพื่อทำการทดสอบวัคซีนในเดือน ธ.ค. 64 ในขณะเดียวกัน เดือนพ.ย. นี้ ได้มีการผลิตวัคซีนรุ่น 2 ออกมาแล้ว และเตรียมที่จะทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ช่วงเดือน ม.ค. 65 และคาดว่าเดือนก.พ. 65 จะสามารถเลือกวัคซีนที่มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพดีที่สุดไปทำการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 ต่อไป ในขณะเดียวกัน คาดว่าในปี 65 จะสามารถผลิตวัคซีนใบยาอีกตัวออกมาได้

นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สถานการณ์ของโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดต่อเนื่อง และกลายพันธุ์ได้ ดังนั้น สิ่งที่เป็นความหวัง คือ การฉีดวัคซีน และพัฒนาวัคซีนใหม่ ๆ  เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก และเสียชีวิต โดยจุฬาฯ จะเน้นพัฒนานวัตกรรมในการวิจัยวัคซีนในประเทศ ทั้งวัคซีน ChulaCov-19 ชนิด mRNA และวัคซีนจุฬาฯ – ใบยา ชนิดโปรตีนซับยูนิตสกัดจากใบพืช เพื่อให้ประเทศไทยไม่ต้องพึ่งพาแต่การนำเข้าวัคซีนอีกต่อไป พร้อมทั้งเป็นวัคซีนที่จะสามารถเป็นความหวังของคนทั่วโลกได้ต่อไป

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

Exit mobile version