Site icon Mekha News (มีค่านิวส์) : เว็บไซต์ข่าว ที่จะนำเสนอข่าวสารเพื่อรักษาสิทธิให้กับคุณ

ตรวจหาเชื้อเอชไอวีในสถานประกอบการ และตรวจแรงงานอาเซียน 2565-2573 ครม.อนุมัติแผนงานแล้ว

ตรวจหาเชื้อเอชไอวีในสถานประกอบการ และตรวจแรงงานอาเซียน 2565-2573

มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 ตุลาคม 2565 เห็นชอบ ร่างแนวทางอาเซียนว่าด้วยการให้คำปรึกษาและการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในสถานประกอบการ และร่างแผนงานคณะกรรมการตรวจแรงงานอาเซียน พ.ศ.2565-2573 (ร่างแผนงานฯ) เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และแผนการดำเนินงานของโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ

ในร่างแนวทางฯ เป็นเอกสารแนวทางสำหรับการป้องกันและบริหารจัดการการติดเชื้อเอชไอวีในสถานประกอบการในภูมิภาคอาเซียนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากยิ่งขึ้น โดยให้ประเทศสมาชิกอาเซียน นำไปปรับใช้ร่วมกับนโยบายและกฎหมายของแต่ละประเทศ

การตรวจหาเชื้อเอชไอวีในสถานประกอบการ มีหลักการสำคัญตามหลักสิทธิมนุษยชน เช่น

1. คุ้มครองสิทธิแรงงาน ไม่เลือกปฏิบัติ เป็นการกระทำโดยสมัครใจ โดยก่อนการตรวจหาเชื้อเอชไอวี แรงงานจะต้องได้รับข้อมูลที่เพียงพอและให้ความยินยอม

2. ข้อมูลการปรึกษาและการตรวจหาเชื้อเอชไอวีจะต้องถูกเก็บรักษาเป็นความลับ

3. มีการให้คำปรึกษาหลังการตรวจหาเชื้อเอชไอวีเพื่อช่วยให้แรงงานหรือครอบครัวที่กำลังมีความเสี่ยงเข้าใจและปรับตัวได้

สาระสำคัญจำแนกเป็น 4 ประเด็น คือ

1.การพัฒนาสมรรถนะหลักของพนักงานตรวจแรงงาน

2.การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการตรวจแรงงานในภาคส่วนที่เข้าถึงยาก (เช่น การเกษตร ประมง เหมืองแร่ งานบ้าน) และระบบแบบส่งต่อเพื่อป้องกันการใช้แรงงานบังคับและแรงงานเด็ก รวมถึงการตรวจแรงงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานบังคับและการค้ามนุษย์

3.การเสริมสร้างความแข็งแกร่งการตรวจแรงงานนอกระบบและ SMEs และ

4.การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการตรวจแรงงานของการทำงานในอนาคต รวมถึงการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ทั้งนี้ ยังมีกลไกการดำเนินงานในการให้คำปรึกษาและตรวจหาเชื้อเอชไอวีในสถานประกอบการ สร้างการรับรู้ ให้คำปรึกษาและตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีโดยสมัครใจของแรงงาน  ประเมินความเสี่ยงทางพฤติกรรมและอาชีพ

หากพบว่า ผลตรวจเป็นผู้ติดเชื้อก็จะมีการให้คำปรึกษาหลังการตรวจ ไม่ให้เกิดการต่อต้านการและไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และเพื่อให้แรงงานได้รับการรักษา เช่น การใช้ยาต้านไวรัส นอกจากนี้ยังมีการตรวจซ้ำอย่างน้อยปีละครั้งในกลุ่มเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในหนังสือถึงสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อรับรองร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการยุติปัญหาโรคเอดส์ได้ภายในค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและแผนการดำเนินงานของโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (Joint United Nations Programme on HIV/AIDS : UNAIDS)

Exit mobile version