นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า กรมควบคุมโรค ขานรับมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ให้ความเห็นชอบมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ หรือ บับเบิลแอนด์ซีล (Bubble and seal) สำหรับสถานประกอบกิจการ ที่มักพบการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นกลุ่มก้อน เนื่องจากมีพนักงานทำงานจำนวนมาก
กองโรคจากการประกอบอาชีพฯ กรมควบคุมโรค จึงจัดทำคู่มือมาตรการฯ เพื่อให้สถานประกอบกิจการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มโรงงาน ที่มีที่ตั้งอยู่ภายในและภายนอกการนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีทุกประเภททุกขนาดทั่วประเทศ นำไปปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สอดคล้องกับสภาพปัญหาและบริบทของสถานประกอบกิจการ โดยไม่ต้องปิดกิจการ แม้ว่าจะมีพนักงานติดเชื้อโควิดก็ตาม
คู่มือนี้ประกอบด้วยมาตรการ 2 ส่วน คือ
1.มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เพื่อการป้องกันโรค
ใช้สำหรับโรงงานที่ยังไม่มีพบผู้ปฏิบัติงานติดเชื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดในวงกว้าง ภายใต้หลักการ จัดกลุ่ม-คุมไว-ลดการแพร่กระจาย-รายได้ไม่สูญ โดยให้ทุกแห่งดำเนินการป้องกันโรคตามาตรการพื้นฐาน ดังนี้
– การตรวจคัดกรองไข้ หรือ พนักงานที่มีอาการป่วยเป็นประจำทุกวัน
– มาตรการส่วนบุคคล คือ ให้พนักงานทุกคนใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสุ่มตรวจหาเชื้อด้วยชุดเอทีเค (Antigen Test Kit) ทุก 1-2 เดือน ใช้แอปพลิเคชัน ไทยชนะ และ ไทยเซฟไทย เพื่อติดตามประวัติการเดินทางและความสี่ยงของพนักงานทุกคน
– การรับพนักงานใหม่ จะต้องตรวจการติดเชื้อและกักตัวเป็นเวลา 14 วันก่อนเข้าทำงาน
– การปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในให้เอื้อต่อการควบคุมโรค
– การจัดหาวัคซีนฉีดครอบคลุมพนักงานอย่างน้อยร้อยละ 70 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
สำหรับบริหารจัดการเพื่อการป้องกันโรค เน้นการจัดกลุ่มผู้ปฏิบัติงานออกเป็นกลุ่มย่อย (small bubble) ตามลักษณะการทำงานหรือการทำกิจกรรม โดยไม่ข้ามกลุ่ม เช่น จัดกลุ่ม ฝ่ายขาย ฝ่ายการผลิต ฝ่ายซ่อมบำรุง กลุ่มละ 10-20 คน เป็นต้น มีการสุ่มตรวจหาเชื้อด้วยวิธีชุดเอทีเค และตรวจยืนยันด้วยวิธีอาร์ที พีซีอาร์ (RT-PCR) หากพบผลเป็นบวก ให้แยกผู้ติดเชื้อออกไปรักษา ส่วนคนที่เหลือในกลุ่มให้กักกัน (Factory Quarantine หรือ Home Quarantine) แต่ยังสามารถทำงานได้ต่อไปโดยไม่ต้องหยุดงาน
2.มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เพื่อการควบคุมโรค ใช้สำหรับกรณีพบผู้ติดเชื้อในสถานประกอบกิจการ เพื่อเป็นการควบคุมการระบาดภายในสถานประกอบกิจการและลดการแพร่เชื้อสู่ชุมชน โดยแบ่งระดับการติดเชื้อในสถานประกอบกิจการ ได้แก่
– ระดับน้อย เมื่อพบอัตราพนักงานติดเชื้อต่ำกว่าร้อยละ 10
– ระดับปานกลาง เมื่ออัตราการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 10
– ระดับมาก เมื่อมีพนักงานติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 10 ของผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด หรือ มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 คนขึ้นไป หรือพบมีการติดเชื้อติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 14 วัน ในรอบ 28 วัน จะใช้มาตรการบับเบิ้ลแอนด์ซีลควบคุมเข้มงวด โดยแยกผู้ติดเชื้อออกเข้าสู่ระบบรักษา เช่น ที่บ้าน (Home Isolation) รพ.สนาม หรือรพ.คู่ปฏิบัติการเมื่อมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่เหลือให้กักกันบริเวณที่พักที่กักให้ สามารถทำงานได้แต่ต้องไม่ข้ามกลุ่ม ถ้าผู้ปฏิบัติงานมีอาการให้ตรวจชุดเอทีเค (ATK) เพื่อประเมินการติดเชื้อ ผู้ปฏิบัติงานกลุ่มอื่น ยังสามารถทำงานในกลุ่มของตนเอง และไม่ข้ามกลุ่ม การทำกลุ่มย่อย จะช่วยลดการแพร่เชื้อระหว่างกล่มและไปสู่ชุมชน
กรณีผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเปราะบางควรตรวจชุดเอทีเค (ATK) ทุกคน หากผลตรวจเป็นลบและยังไม่ได้ฉีดวัคซีน สถานประกอบกิจการควรเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มดังกล่าว และผู้ปฏิบัติงานที่เหลือในสถานประกอบกิจการ โดยควรมีความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 70 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
สำหรับการใช้ชุดตรวจสอบเอทีเค (ATK) เพื่อตรวจสอบการติดเชื้อโควิด-19 กรมควบคุมโรคได้ให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศและสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) ในพื้นที่กทม. ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ จัดอบรมบุคลากรของโรงงาน สถานประกอบกิจการในต่างจังหวัดและกทม.
เพื่อให้มีทักษะ สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง ทั้งด้านเทคนิควิธีการและใช้ตรวจพนักงานในรายที่มีอาการในข่ายสงสัยว่าอาจติดเชื้อโควิด เช่น มีไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเร็ว จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ตาแดง มีผื่นขึ้น หรือมีประวัติสัมผัสคนติดเชื้อในช่วง 14 วัน เป็นต้น
ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดคู่มือมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) สำหรับสถานประกอบกิจการ ดาวน์โหลดเอกสาร ได้ที่ https://ddc.moph.go.th/doed/pagecontent.php?page=739&dept=doed