นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ททท.จะนำเสนอแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัว ให้ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบ เพื่อเดินหน้าตามแผนที่จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม
ซึ่งเป็นการเปิดเพิ่ม 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี (พัทยา อ.บางละมุง อ.สัตหีบ) เชียงใหม่ (อ.เมือง อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.ดอยเต่า) เพชรบุรี (ชะอำ) และประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) ตามแผนการเปิดประเทศระยะที่ 2 เพื่อให้มีหลักการปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด หรือ One SOP One System ช่วยลดขั้นตอนดำเนินงานที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และอำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จจาก “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”
การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติดังกล่าว จะเน้นเฉพาะผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และมีผลเป็นลบ ในการตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยวิธี RT-PCR หรือ ไม่พบเชื้อเท่านั้น จึงจะสามารถท่องเที่ยวได้แบบไม่ต้องถูกกักตัว ในการกำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวเฉพาะ (ซีลแอเรีย) เหมือนกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางได้ทั่วจังหวัดภูเก็ต แต่ห้ามออกนอกจังหวัดภูเก็ต
ส่วนสาเหตุที่ต้องปรับรูปแบบการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นรูปแบบซีลแอเรีย จากเดิมที่ใช้รูปแบบซีลรูต หรือ การกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวเฉพาะ อาทิ ใน 3 วันแรกของโครงการสมุยพลัสโมเดล กำหนดให้เที่ยวในซีลรูตเท่านั้น แม้ผลตรวจจะออกมาไม่พบเชื้อโควิด โดยจะต้องรอให้ครบ 3 วันก่อน จึงจะสามารถเที่ยวได้ทั่วเกาะสมุย และต้องครบ 7 วัน จึงข้ามไปเที่ยวจังหวัดนำร่องได้
ทำให้ ททท.ทำการตลาดยาก จึงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ จึงจะเสนอที่ประชุม ศบศ.เพื่อปรับรูปแบบโครงการให้เป็นการเที่ยวแบบไม่กักตัว แต่กำหนดให้อยู่ในพื้นที่ที่จำกัดไว้เท่านั้น เป็นการซีลแอเรียให้ โดยจะเปลี่ยนชื่อเป็นจากสมุยพลัสโมเดล เป็นสมุยพลัสแซนด์บ็อกซ์แทน เพราะรูปแบบการรับนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป แต่ยังรวม 3 พื้นที่ ในการรับต่างชาติตามเดิม ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า
ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย