นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เห็นชอบให้ธนาคารออมสินดำเนิน “มาตรการสินเชื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ” โดยอนุมัติวงเงิน 1,500 ล้านบาท ในส่วนที่ธนาคารออมสินขอชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อที่อนุมัติทั้งหมด 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่อให้ธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินเริ่มทุนเริ่มต้นในการประกอบอาชีพ หรือเสริมสภาพคล่องให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ทั้งยังช่วยลดการพึ่งพาสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงหรือสินเชื่อนอกระบบ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
1. ผู้เริ่มประกอบอาชีพและผู้ประกอบการรายย่อย เช่น
– ผู้ผ่านการอบรมอาชีพ “ช่าง” ทุกประเภท (ช่างปูน ช่างแอร์ ช่างไฟฟ้าช่างเชื่อม ช่างซ่อมอุปกรณ์ เป็นต้น)
– ผู้ที่ไม่ใช่ช่าง เช่น เสริมสวย หรือ ตัดผมชาย คนขายของออนไลน์ เป็นต้น โดยมีใบประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตรที่ผ่านการอบรมจากหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนหรือเอกสารอื่น ๆ ตามประเภทของอาชีพ หรือ มีประสบการณ์ ในการประกอบอาชีพดังกล่าว
2. ผู้ประกอบการขนาดย่อม ที่มีสถานที่จำหน่ายแน่นอน เช่น ค้าปลีก ค้าส่ง โชห่วย แฟรนไชส์ เป็นต้น โดยมีทะเบียนพาณิชย์ ทะเบียนการค้า สัญญาแฟรนไซส์ หรือ เอกสารแสดงความเป็นเจ้าของอื่น ๆ
3. ผู้ขับขี่รถสาธารณะ เช่น ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ รถตู้สาธารณะ รถขนส่งสินค้า รถบรรทุก โดยมีใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะหรือเอกสารอื่น ๆ ตามประเภทของอาชีพ
เงื่อนไขสินเชื่อ
– วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท
– วงเงินสินเชื่อ ไม่เกินรายละ 300,000 บาท
– ระยะเวลาการขอยื่นสินเชื่อ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึง 30 กันยายน 2565
– ระยะเวลาการกู้ รวมระยะเวลาทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 5 ปี (ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก)
– อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.99 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะคลี่คลาย แต่ยังมีประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งรายได้ลดลง ขาดเงินทุน สำหรับการมาเริ่มประกอบอาชีพใหม่ หรือ ต้องการเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจเดินต่อไปได้
ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบให้ธนาคารออมสินดำเนินมาตรการสินเชื่อดังกล่าว ซึ่งธนาคารออมสินยังจะจัดให้มีการฝึกอบรม เพื่อส่งเสริมความรู้ทางการเงินละยกระดับทักษะในการประกอบอาชีพให้กับลูกค้า รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์การค้าและสถานที่จำหน่ายสินค้า คาดว่าจะช่วยเหลือประชาชนให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจต่อไปได้ประมาณ 60,000 ราย