การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าผนึกกำลังร่วมกับ The MICHELIN Guide ดำเนินโครงการ The MICHELIN Guide Thailand ต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2569 เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงอาหารของประเทศไทย (Gastronomy Tourism) สู่ระดับสากล โดยตั้งเป้าหมายขยายพื้นที่สำรวจอย่างน้อย 3 จังหวัด และเพิ่มรางวัล MICHELIN Guide Thailand Service Award presented by TAT ให้แก่บุคลากรผู้ให้บริการยอดเยี่ยม
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า โครงการ The MICHELIN Guide Thailand เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 จนถึง 2564 รวมระยะเวลา 5 ปี และได้จัดทำคู่มือ “มิชลิน ไกด์” จำนวน 5 ฉบับ ฉบับแรกชื่อว่า “The MICHELIN Guide Bangkok 2018” และได้ขยายจังหวัดในการสำรวจอย่างต่อเนื่องทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จังหวัดภูเก็ต พังงา และเชียงใหม่ สำหรับในปีที่ 4 (ปี 2563) มีการเพิ่มรางวัลประเภทใหม่ ได้แก่
1.MICHELIN Guide Young Chef Award เพื่อมอบให้กับเชฟรุ่นใหม่ที่โดดเด่น
2.MICHELIN Guide Service Award รางวัลสำหรับบุคลากรผู้ให้บริการยอดเยี่ยม
3.MICHELIN Green Star รางวัลที่มอบให้กับร้านอาหารซึ่งใส่ใจในสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ฉบับล่าสุดปีที่ 5 ขยายพื้นที่ไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในชื่อว่า “The MICHELIN Guide Bangkok, Phra Nakhon Si Ayutthaya, Chiang Mai, Phuket & Phang-Nga 2022”
ทั้งนี้ จากผลการวิจัยโครงการประเมินภาพลักษณ์การท่องเที่ยวด้านอาหาร (Gastronomy Tourism) ของประเทศไทย สำรวจโดยบริษัท เคเนติกส์ คอนซัลติ้ง จำกัด ของ ททท.
ผลการดำเนินโครงการ The MICHELIN Guide Thailand ประจำปี พ.ศ. 2560 – 2563 โดย Ernst & Young สะท้อนให้เห็นว่า โครงการฯ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในส่วนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านอาหารในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยต่อมื้อสูงถึง 2 เท่า
ในปี 2562 สร้างมูลค่าได้ถึง 842.40 ล้านบาท เกิดการจ้างงานในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 4,800 ตำแหน่ง มีการจัดกิจกรรมทางด้านอาหารในประเทศไทย อาทิ การจัดกิจกรรมดินเนอร์กับเชฟมิชลิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเปรียบเทียบจำนวนร้านอาหารระดับ Street Food ถึง Fine Dining ที่ได้รับรางวัลมิชลิน
ในปี 2560 – 2564 พบว่า มีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนร้านอาหารร้อยละ 137 และเกิดการพัฒนาและยกระดับร้านอาหารในประเทศไทย เพื่อรักษามาตรฐานของร้านอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 ทั้งดึงดูดเชฟชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเปิดร้านอาหารระดับไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) ในไทยมากยิ่งขึ้นด้วย
จากความสำเร็จดังกล่าว ททท. เล็งเห็นความสำคัญของโครงการ The MICHELIN Guide Thailand ในการเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ภายใต้แนวคิด BCG Model มุ่งให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ควบคู่กับการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมผ่านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ให้เป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ นำไปสู่การส่งเสริมการลงทุน ขับเคลื่อนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในการนี้ ททท. จึงผนึกกำลัง The MICHELIN Guide ขยายความร่วมมือต่อเนื่องไปอีก 5 ปี จากปี พ.ศ. 2565 ถึงปี พ.ศ. 2569 ตั้งเป้าขยายพื้นที่สำรวจเพิ่มอย่างน้อย 3 จังหวัด ได้แก่
1.จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 จังหวัด
2.เพิ่มเติมใหม่อีก 2 จังหวัด
ยิ่งไปกว่านั้น The MICHELIN Guide จะเพิ่มเติมรางวัลประเภทใหม่ MICHELIN Guide Thailand Service Award presented by TAT ให้แก่บุคลากรผู้ให้บริการยอดเยี่ยม เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่แข็งแรงและยั่งยืนในทุกมิติต่อไป
นายมานูเอล มอนตานา ประธานกลุ่มมิชลิน ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและออสเตรเลีย กล่าวว่า ภายใต้การขยายความร่วมมือครั้งนี้ The MICHELIN Guide จะรุกดำเนินการสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาร้านอาหารและที่พักที่ดีสุด เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจอาหารและการท่องเที่ยวของไทย
ซึ่งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่ดีและจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการท้องถิ่น ทั้งในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภายหลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายลง ทั้งนี้ มิชลิน ไกด์ จะช่วยเป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ด้วยกิจกรรมการตลาดและสื่อสารผ่านสื่อออฟไลน์และออนไลน์ทั่วโลก
เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารระดับโลก ตลอดจนช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤติโควิด-19 และมุ่งมั่นผลักดันให้เกิดการพัฒนาภาคธุรกิจร้านอาหารและการบริการ
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio, Circular and Green Economy : BCG) ที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาในหลากหลายมิติ เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ต่อประชาชน และยังเกิดผลดีต่อโลกอย่างยั่งยืนด้วย