นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 มกราคม 2565 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการดำเนินคดี หรือ ฟ้องคดีปิดปาก และมีกฎหมายคุ้มครองบุคคลที่แสดงความเห็น หรือ เปิดโปงเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ
ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
1.เป็นการกำหนดกลไกส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการต่อต้าน หรือ ชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ และจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามกฎหมาย
2.กำหนดให้คุ้มครองแก่บุคคลที่ได้แสดงความคิดเห็น ให้ถ้อยคำ แจ้งเบาะแส หรือ ข้อมูล หรือ มีการกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำของพนักงานของรัฐหรือบุคคลใดอันเป็นที่มาของการสอบสวน
3.การตรวจสอบ หรือการไต่สวนในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ และบุคคลดังกล่าวตกเป็นเหยื่อจากการถูกนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือโดยมิชอบ หรือกลั่นแกล้ง ด้วยวิธีการฟ้องคดีปิดปากไม่ว่าจะเป็นการถูกฟ้องคดีในทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง รวมถึงการดำเนินการทางวินัย
นอกจากนี้ ยังมีสาระสำคัญ เพิ่มเติม อาทิ
1.กำหนดบทนิยาม “การฟ้องคดีปิดปาก” หมายความว่า การนำกระบวนการยุติธรรมด้วยวิธีการเสนอข้อหาต่อศาล ไม่ว่าจะเป็นทางอาญา ทางแพ่ง หรือทางปกครอง รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับคดีเดิมที่ได้มีการเสนอข้อหาต่อศาลไว้ก่อนแล้ว ซึ่งกระทำในลักษณะการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบบุคคลใด มาใช้เป็นเครื่องมือ
2.กำหนดลักษณะของการดำเนินคดีหรือการฟ้องคดีปิดปาก
2.1 การดำเนินคดีหรือการฟ้องคดี ซึ่งมีสาเหตุมาจากกรณีที่ผู้ถูกฟ้องได้แสดงความคิดเห็น ให้ถ้อยคำ แจ้งเบาะแสหรือข้อมูล จัดทำคำร้องหรือคำกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ
2.2 การดำเนินคดีหรือการฟ้องคดีอันมีลักษณะของการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อการแกล้งหรือเอาเปรียบผู้ถูกดำเนินคดี
3.กรณีที่พนักงานสอบสวน หรือ พนักงานอัยการ หรือ ผู้ถูกฟ้องคดี เห็นว่าการดำเนินคดีหรือฟ้องคดี อาจเข้าข่ายเป็นลักษณะการฟ้องคดีปิดปากตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ มีอำนาจตรวจสอบ สอบสวน หรือทำความเห็นในคดีได้
4.กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีปิดปากมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้ฟ้องคดีปิดปาก โดยกำหนดให้ศาลมีอำนาจกำหนดมูลค่าความเสียหายจากการถูกฟ้องคดีปิดปาก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของกฎหมายป้องกันการฟ้องคดีปิดปากในระดับสากล
5.การกำหนดโทษ
5.1 กรณีที่มีการฟ้องคดีปิดปากตามพระราชบัญญัตินี้ โดยที่ผู้ฟ้องคดีมีสถานะเป็นพนักงานของรัฐและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดทางวินัยหรือเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่ง ในกรณีศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะเหตุว่าการฟ้องคดีมีลักษณะเป็นการฟ้องคดีปิดปาก และผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานของรัฐ ให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางวินัยหรือเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วย
5.2 ผู้ใดกระทำการไม่สุจริต ได้ยื่นฟ้องคดีปิดปาก ในลักษณะเพื่อกลั่นแกล้งบุคคลให้ต้องรับโทษทางอาญาหรือได้นำความอันเป็นเท็จยื่นฟ้องต่อศาลเป็นคดีอาญา หรือ เข้าลักษณะเป็นการฟ้องคดีเพื่อต่อรองหรือข่มขู่ ให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นพนักงานของรัฐเป็นผู้กระทำต้องระวางโทษเป็น 2 เท่าของโทษที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ ลำดับต่อไป จะส่งร่างพระราชบัญญัติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มมาตรการป้องกันการดำเนินคดีหรือการฟ้องคดีปิดปาก ซึ่งจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นการขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบในทุกวงการของสังคมไทย