นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) สำหรับข้อริเริ่มความต้องการใช้พลังงานสะอาด (Clean Energy Demand Initiative: CEDI) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและภาคเอกชนของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีพิธีลงนามในการประชุม The 2nd United States -Thailand Energy Policy Dialogue (2nd UTEPD) โดยกระทรวงพลังงานไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 หนังสือแสดงเจตจำนงฉบับนี้ โดยมีค่า นิวส์ ขอสรุปรายละเอียดมาให้ ดังนี้
หนังสือแสดงเจตจำนงฯ ดังกล่าว เป็นการแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันของประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา ในการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจที่สนใจและมีศักยภาพในการจัดหาและใช้พลังงานสะอาด โดยฝ่ายสหรัฐจะชักชวนนักลงทุนมาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และฝ่ายไทยจะอำนวยความสะดวกและสนับสนุนการจัดหาพลังงานสะอาด
สำหรับการดำเนินธุรกิจของสหรัฐภายใต้เงื่อนไขและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการพัฒนาทางเลือกอื่นๆ ที่มีความเหมาะสม ผ่านแนวทางการจัดหาพลังงานสะอาดที่ฝ่ายไทยจะดำเนินการในอนาคต ประกอบด้วย
- การผลักดันให้เกิดตลาดพลังงานสะอาดที่มีศักยภาพและสามารถแข่งขันด้านราคาได้
- การกำหนดนโยบายด้านพลังงานสะอาดให้มีความเหมาะสม
- การส่งเสริมระบบการรับรองสถานะด้านสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในการซื้อขายพลังงานสะอาด
- การสนับสนุนการพัฒนานโยบายและโครงสร้างพื้นฐานของด้านไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพและสามารถรองรับการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดได้
ทั้งนี้ เบื้องต้น มีภาคเอกชนของสหรัฐประสงค์ที่จะร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงค์ทั้งหมด 19 บริษัท โดยจะนำเงินมาลงทุนคิดเป็นมูลค่าอาจสูงถึง 2,384 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีรายชื่อบริษัท ดังนี้
- HP Inc.
- Apple
- Akamai
- Meta Platforms, Inc.
- Johnson & Johnson
- Nike
- Dow Inc.
- Iron Mountain
- Inter IKEA Group
- Lululemon
- Spiber Inc.
- Ralph Lauren Corporation
- Unilever
- TAL Apparel
- Amer Sports
- RIFE International
- Amazon
- WeWork
- TCI Co., LTD
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า การร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงในครั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของไทยในการส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy Model) ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงเป็นการส่งเสริมโอกาสของการลงทุนระหว่างสหรัฐกับไทยด้วย
