น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบร่างนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ พ.ศ. 2566-2580 มีวัตถุประสงค์ : เพื่อเป็นกรอบนโยบายและทิศทางในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศอย่างบูรณาการในระยะ 15 ปีข้างหน้า
เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินระยะกลาง (5 ปี) และสามารถนำไปขับเคลื่อนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศเป็นไปอย่างเหมาะสม เป็นไปในเชิงรุก และมีประสิทธิภาพ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ
ร่างนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินฯ จะมีนโยบายหลัก 4 ด้าน 19 ตัวชี้วัด 11 แนวทางการพัฒนาหลัก และ 17 แผนงานที่สำคัญ โดยมีนโยบายหลัก 4 ด้าน ได้แก่
1.นโยบายการสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพและการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ มีตัวชี้วัด เช่น จำนวนพื้นที่ที่มีการจัดทำเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐตามหลักเกณฑ์ One Map แล้วเสร็จ ที่ดินของรัฐถูกบุกรุกลดลง
2.นโยบายการใช้ที่ดินและทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีตัวชี้วัด เช่น สัดส่วนของที่ดินที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ลดลง
3.นโยบายการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน มีตัวชี้วัด เช่น สัดส่วนผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือที่ดินทำกินลดลง ระดับรายได้ของผู้ได้รับการจัดที่ดินเพิ่มขึ้น
4.นโยบายการบูรณาการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินอย่างมีเอกภาพ มีตัวชี้วัดเช่น มีระบบฐานข้อมูลที่ดินและทรัพยากรดินที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
ขณะเดียวกันร่างนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินฯ ดังกล่าว กำหนดเป้าหมายเป็นระยะในแต่ละนโยบายหลักทั้ง 4 ด้าน เช่น ในส่วนของนโยบายการสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพและการรักษาความสมดุลทางธรรมชาติ จะมีเป้าหมายประกอบด้วย
1.เป้าหมายระยะ 5 ปี (ปี2566-2570) เช่น ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแล้วเสร็จ
2.เป้าหมายระยะ 10 ปี(ปี2571-2575) เช่น การลดปัญหาความขัดแย้งและข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชนลดลง และที่ดินของรัฐถูกบุกรุกน้อยลง
3.เป้าหมายระยะ 15 ปี (ปี2576-2580) เช่น พื้นที่ป่ามีสัดส่วนร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ และผลผลัพธ์สุดท้าย คือ แนวเขตที่ดินของรัฐมีความชัดเจน ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ดินของรัฐและทรัพยากรธรรมชาติมีความสมดุลและยั่งยืน และประชาชนได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศและมีส่วนร่วม
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ปัญหาของระบบการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศที่ขาดเอกภาพในเชิงนโยบายและมีข้อจำกัดทางด้านกลไกและเครื่องมือ โดยอำนาจการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องด้านที่ดินกระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน มีคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องหลายคณะ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องบังคับใช้หลายฉบับ การบูรณากรการทำงานมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ขาดระบบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการที่ดินส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าการแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ในระยาว
จึงส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับที่เดิน เช่น การทับซ้อนของแนวเขตที่ดินของหน่วยงานต่าง ๆ ที่นำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐ ความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรรมในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน การกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน การไร้ที่ดินทำกิน การบุกรุกที่ดินของรัฐ การใช้ประโยชน์ไม่ตรงตามศักยภาพของที่ดิน ตลอดจนการทิ้งร้างไม่ทำประโยชน์ ล้วนเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานและป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ