ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าปัญหาวัยรุ่นตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร หรือยังไม่พร้อมตั้งครรภ์ นั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ในช่วงมัธยมศึกษา หรือในช่วงอายุ 16-20 ปี ทำให้ มีค่า นิวส์ จึงนำข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิทธิการรับบริการฝังยาคุมกำเนิดสำหรับผู้สนใจควบคุมกำเนิดแบบฝังจากกรมอนามัยมาฝาก เพื่อเป็นการลดการตั้งครรภ์ หรือการตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่น
โดย นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งบรรจุเป็นแผนงานระดับประเทศเพื่อให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการคุมกำเนิดชนิดกึ่งถาวร โดย สปสช. ได้สนับสนุนการให้บริการคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวรให้แก่ประชาชนไทย เพศหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ทุกสิทธิ ที่อยู่ในภาวะหลังคลอด แท้ง หรือต้องการคุมกำเนิด โดยสามารถขอรับบริการคุมกำเนิดแบบห่วงอนามัย และยาคุมกำเนิดแบบฝังได้ที่สถานบริการสาธารณสุขในเครือข่ายของ สปสช. ทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ และการตั้งครรภ์ซ้ำในกลุ่มวัยรุ่นหลังคลอด หรือแท้ง หรือต้องการคุมกำเนิด
นอกจากนี้ยังกล่าวต่อไปว่า จากผลการศึกษาการตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่นเขตสุขภาพที่ 7 และศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ซึ่งได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง กลุ่มวัยเรียนวัยรุ่น จากงานประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพ และอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 15 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 18.8 ปี โดยอายุน้อยที่สุด 16 ปี และอายุมากที่สุด 19 ปี สถานภาพสมรส ร้อยละ 74.2 ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 45.5 และมากกว่าครึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพ สำหรับบุคคลใกล้ชิดเคยตั้งครรภ์หรือมีบุตรขณะอายุน้อยกว่า 20 ปี คือกลุ่มเพื่อน ร้อยละ 50.0 ข้อมูลทางสูติกรรมเป็นครรภ์ที่ 2 ร้อยละ 87.9 และร้อยละ 59.1 มีประวัติไม่ได้คุมกำเนิด แต่หากคุมกำเนิดจะใช้วิธีกินยาเม็ดคุมกำเนิด ร้อยละ 51.3 และไม่มีความสม่ำเสมอในการใช้วิธีคุมกำเนิด ร้อยละ 53.8 ทำให้มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ซ้ำ จึงต้องมีวิธีการคุมกำเนิดที่ดี
โดยยาคุมกำเนิดแบบฝังเป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถคุมกำเนิด ได้ในระยะเวลา 3 ปี และ 5 ปี ตลอดจนกลับสู่ภาวะเจริญพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วภายหลังการหยุดใช้ และไม่มีผลรบกวนต่อการมีเพศสัมพันธ์ โดยมีกลไกการป้องกันการคุมกำเนิด คือ ฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจากแท่งยาฝังที่อยู่ใต้ผิวหนัง ใต้ท้องแขน มีผลทำให้ฟองไข่ไม่สามารถโตต่อไปจนตกไข่ได้ จึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ ฮอร์โมนยาฝังคุมกำเนิดนี้ยังทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น ทำให้เชื้ออสุจิว่ายผ่านเข้าไปได้ยาก ช่วยลดโอกาสการผสมไข่ สตรีที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฝังจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 ใน 2,000 จึงเป็นการช่วยลดการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม หรือการตั้งครรภ์ซ้ำได้ อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ที่มา: กรมอนามัย