กระทรวง อว. โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ เดินหน้าพัฒนา “สนามทดสอบยานยนต์เชื่อมต่อและขับขี่อัตโนมัติ” สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความปลอดภัย รองรับการพัฒนาและผลิตยานยนต์อัตโนมัติในไทยให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล เผยความคืบหน้าอยู่ระหว่างดำเนินการเฟส 2 คาดเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้บริการได้ภายในปี 2568 พร้อมยก “สนามทดสอบยานยนต์เชื่อมต่อและขับขี่อัตโนมัติจำลอง” มาโชว์ศักยภาพในงาน “อว.แฟร์” 22-28 กรกฎาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีเป้าหมายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เป็นแผนงานสำคัญโดยเน้นผลักดัน 3 แผนงานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ 1) EV-HRD การพัฒนาทักษะกำลังคน เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 2) EV-Transformation การส่งเสริมให้หน่วยงานภายใต้ อว. ปรับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ 3) EV-Innovation การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ขานรับนโยบายดังกล่าวและเห็นความสำคัญของการพัฒนายานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicle) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีชั้นแนวหน้า ที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย แม้บางประเทศแม้จะมีการทดสอบใช้งานจริงในพื้นที่สาธารณะแล้ว แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งด้านสมรรถนะและความปลอดภัยก็ยังคงเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ ซึ่งมีภารกิจหลักในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ(NQI) ของประเทศจึงได้จัดทำ “โครงการสร้างสนามทดสอบรถอัตโนมัติหรือ Connected and Autonomous Vehicle (CAV) Proving Ground”ขึ้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) จ.ระยอง เพื่อรองรับการพัฒนาและผลิตยานยนต์อัตโนมัติในประเทศให้ได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โครงการดังกล่าวมีระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (พ.ศ.2565-2568) คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ถึง 2 แสนล้านบาทในปี 2573
ด้านดร.ปาษาณ กุลวาณิช นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) หัวหน้าโครงการพัฒนาสนามทดสอบยานยนต์ CAV Proving Ground กล่าวว่า ปัจจุบันการดำเนินงานโครงการระยะแรก คือปรับพื้นที่ และสร้างสนามส่วนถนนแล้วเสร็จ ขณะนี้สนามทดสอบรถอัตโนมัติ CAV Proving Ground อยู่ในระหว่างการดำเนินงานในระยะที่ 2 คือ การก่อสร้างอาคารสำนักงาน (Control and Welcome Center) และอาคาร Small Workshop สำหรับใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานเชิงเทคนิค ก่อสร้างอุโมงค์กันสัญญาณ GNSS ติดตั้งระบบตรวจติดตามรถ ณ 4 แยก ด้วยเลเซอร์ผ่านเครือข่าย 5G สำหรับเชื่อมต่อข้อมูลจราจรกับรถอัตโนมัติที่ขับผ่านทางแยกนั้นผ่านเครือข่าย 5G เพื่อจัดเก็บข้อมูลการจราจร ตำแหน่ง ความเร็ว และทิศทางของยานยนต์ที่มีความแม่นยำสูงสำหรับให้ยานยนต์อัตโนมัติได้ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจในการนำทางผ่าน 4 แยกได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัวของยานยนต์ที่ถูกตรวจจับ เนื่องจากการติดตามจะไม่บันทึกข้อมูลป้ายทะเบียนรถ อีกทั้งมีการพัฒนาการทดสอบนวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ได้แก่ การพัฒนาวิธีทดสอบ ADAS แบบใช้เป้าสะท้อนสัญญาณ RADAR แบบลาก และการทดสอบระบบ HD map แบบแม่นยำสูง เพื่อยกระดับมาตรฐานยานยนต์แห่งอนาคตที่พัฒนาได้เองภายในประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ลดค่าใช้จ่ายในการส่งออกรถยนต์ไปทดสอบในต่างประเทศ โดยคาดว่าการก่อสร้างสนามทดสอบรถอัตโนมัติ CAV Proving Ground จะแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้บริการภายในปี 2568
ดร.ปาษาณ กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันยานยนต์ไร้คนขับยังไม่สามารถออกมาใช้งานได้เทียบเท่ารถที่วิ่งบนถนน ทำให้เกิดการคาดการณ์ที่ผิดพลาด ส่งผลให้นักลงทุนถอนตัว สตาร์ทอัพหลายพันบริษัททยอยเลิกกิจการจนเหลือเพียงไม่ที่รายที่ยังคงวิจัยและพัฒนาต่อ แต่ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้าง “สนามทดสอบรถอัตโนมัติ” และผลักดัน “อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่” ซึ่งยานยนต์ไร้คนขับอาจจะไม่สำเร็จภายใน 2-5 ปีนี้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะทำไม่สำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วจะเกิดประโยชน์หลายอย่างที่ตามมา ได้แก่ ทำให้อุบัติเหตุบนถนนเป็นศูนย์ ทำให้อุตสาหกรรมการขนส่งที่เป็น Smart City มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดข้อจำกัดทางร่างกายช่วยผู้พิการและผู้สูงอายุให้สามารถเดินทางง่ายขึ้น ตลอดจนการดึงนักลงทุนเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย
“ยานยนต์ไร้คนขับถือเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมาก ขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมกับการใช้งานในโรงงาน คลังสินค้า สนามบิน แคมปัส ท่าเรือ ซึ่งการที่ไทยยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งสามารถใช้บนท้องถนน ไทยจะได้เป็นส่วนหนึ่งไม่ต้องรอรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศอย่างเดียว และสามารถดึงนักลงทุนเข้ามาสร้างมูลค่าภายในประเทศได้ เพราะมีนวัตกรรมที่พร้อมใช้แล้ว”
อย่างไรก็ดีในระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2567 กรมวิทยาศาสตร์บริการจะนำสนามทดสอบฯ จำลองทั้งสนามมาไว้ในงาน “มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ หรือ อว.แฟร์ : Sci Power For Future Thailand ” ณ บริเวณโซน F (โซน Science for Future Thailand) ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ เวลา 10.00-20.00 น.
นอกจากนี้ ภายในงาน อว.แฟร์ กรมวิทย์ฯ บริการ ยังจัดกิจกรรมสัมมนาวิชาการในหัวข้อ “ความสำคัญของการพัฒนาห้องปฏิบัติการเพื่อความยั่งยืน” ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.00-16.30 น. ณ ห้องอบรม MR 209 ชั้น 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ และ หัวข้อ “บทบาทการสอบเทียบกับคุณภาพแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์สมัยใหม่” ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องอบรม MR 204 ชั้น 2 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ และยังได้เชิญสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) มาร่วมแสดงผลงานการพัฒนาหุ่นยนต์ ภายในพื้นที่จัดนิทรรศการของกรมวิทยาศาสตร์บริการ อีกด้วย