นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวภายหลัง การประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ครั้งที่ 5/2567 ซึ่งมีวาระการพิจารณาแนวทางการใช้วัคซีนฝีดาษวานร เพื่อป้องกันและควบคุมโรค โดยเฉพาะขณะนี้พบการระบาดของ สายพันธุ์เคลด 1 บี (Clade 1b) ในกลุ่มประเทศแอฟริกา โดยทางคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาเรื่องวัคซีน ซึ่งประเมินสถานการณ์แล้วว่า การระบาดยังต่ำ เพราะโอกาสการแพร่ระบาดยังไม่สูงมาก ต้องสัมผัสใกล้ชิดจริง ๆ และอาการของโรคไม่ได้มีเรื่องไอ น้ำมูกมากมาย
ทั้งนี้ ต้องย้ำว่า ฉีดวัคซีนฝีดาษลิง ไม่มีการจำหน่าย ไม่มีบริษัทใดนำเข้าประเทศไทย เพื่อขออนุญาตจำหน่ายกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แต่จากการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน มีคำแนะนำเรื่องนี้ โดยจริง ๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย
ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 จะมีการใช้งบประมาณกรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
1.บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ
2.กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน
3.มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ
ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรค จะดูแล โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนอีกกลุ่มที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดของโรคนั้น อาจจะต้องฉีดโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งปัจจุบันมีที่สภากาชาด ไม่ได้มีจำหน่ายในสถานพยาบาลทั่วไป