ประเพณีการนำน้องใหม่ไปนมัสการพระบรมธาตุดอยสุเทพ หรือ “รับน้องขึ้นดอย” เป็นประเพณีที่ดีงามที่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกันจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2507 จวบจนปัจจุบัน โดยจะนำนักศึกษาชั้นปีที่ 1-3 เดินขึ้นไปนมัสการ พระบรมธาตุดอยสุเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ และศูนย์รวมจิตใจของชาวล้านนา รวมระยะทางกว่า 14 กิโลเมตร
สำหรับปี 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรม “รับน้องขึ้นดอย” โดยมีกำหนดการจัดขึ้น **ในวันเสาร์ ที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึง วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบัน ส่องกำหนดการ รับน้องขึ้นดอย ที่นี่ มีค่า นิวส์ สรุปมาให้ค่ะ
1.เวลา 03.30 น. ขบวนเสลี่ยงช้างแก้วออกเดินทางจากมหาวิทยาลัย
2.เวลา 04.00 น. ลำดับขบวนตามนี้
- ลำดับที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์
- ลำดับที่ 2 คณะเกษตรศาสตร์
- ลำดับที่ 3 คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
- ลำดับที่ 4 คณะสัตวแพทยศาสตร์
- ลำดับที่ 5 คณะสังคมศาสตร์
- ลำดับที่ 6 คณะอุตสาหกรรมเกษตร
- ลำดับที่ 7 วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี
- ลำดับที่ 8 คณะแพทยศาสตร์
- ลำดับที่ 9 คณะเศรษฐศาสตร์
- ลำดับที่ 10 คณะทันตแพทยศาสตร์
- ลำดับที่ 11 คณะศึกษาศาสตร์
3.เวลา 06.25 น. พิธีเปิดกิจกรรมรับน้องขึ้นดอย ตามลำดับ ดังนี้
- คณะผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติ พร้อมกันบริเวณปะรำพิธี
- ประธานโครงการ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรม
- ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าวต้อนรับ
- อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประธานในพิธี กล่าวเปิดงาน และลั่นฆ้องชัย
4.เวลา 06.45 น.
- ขบวนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิทยาลัยพหุวิทยาการและสหวิทยาการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัย เคลื่อนขบวนออกจากมหาวิทยาลัย
- ลำดับที่ 12 คณะนิติศาสตร์
- ลำดับที่ 13 คณะวิทยาศาสตร์
- ลำดับที่ 14 คณะการสื่อสารมวลชน
- ลำดับที่ 15 คณะพยาบาลศาสตร์
- ลำดับที่ 16 คณะเทคนิคการแพทย์
- ลำดับที่ 17 คณะมนุษยศาสตร์
- ลำดับที่ 18 วิทยาลัยนานาชาตินวัตกรรมดิจิทัล
- ลำดับที่ 19 คณะเภสัชศาสตร์
- ลำดับที่ 20 คณะบริหารธุรกิจ
- ลำดับที่ 21 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
- ลำดับที่ 22 คณะวิจิตรศิลป์
หมายเหตุ : คณะสุดท้ายออกจากมหาวิทยาลัยไม่เกิน เวลา 09.00 น. (กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม)
ขอบคุณข้อมูล รูปภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Chiang Mai University