นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 โดยคณะกรรมการ ตัดสินใจชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออกไปไม่มีกำหนด จนกว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเป็นปกติ (ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3) ซึ่งจะนำเงิน 1.5 แสนล้านบาท ไปใช้ในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และรองรับผลกระทบที่เกิดจากมาตรการ ขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ จากการเปลี่ยนมาใช้เงินเพื่อการลงทุนแทนการบริโภค คาดว่า การใช้งบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท จะเกิดขึ้นในปีนี้และปีหน้า ผ่านโครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการด้านโลจิสติกส์และคมนาคม รวมไปถึงการฟื้นฟูการท่องเที่ยว เป็นต้น
ขั้นตอนหลังจากนี้ จะให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแผนการลงทุนในโครงการทั้ง 6 ด้านดังกล่าว เสนอโครงการขอใช้งบประมาณเข้ามาให้คณะกรรมการฯ พิจารณา นอกจากนี้ รัฐบาลยังจะมีการปรับงบประมาณปี 2569 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรับวงเงินมาใช้ในการลงทุน และรองรับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ รวมไปถึงจะมีการใช้งบประมาณต่อเนื่อง ในปีงบประมาณ 2570 เพราะรัฐบาลมองว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และการแก้ปัญหา เศรษฐกิจ ในครั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปี และใช้เม็ดเงินกว่า 5 แสนล้านบาท โดยคาดว่าโครงการทั้งหมดจะช่วยทำให้ GDP ของประเทศดีขึ้นร้อยละ 0.7 – 1
ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ว่า เป้าหมายของ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของประเทศทั้งหมด โดยในการแจกรอบแรก และรอบสอง ได้มีการกระตุ้นไปแล้วในกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ แต่พอมีเรื่องของภาษีสหรัฐฯ เข้ามา ก็ต้องพิจารณาทบทวน และได้ข้อเสนอจากธนาคารแห่งประเทศไทย และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้ทบทวนเรื่องนี้ใหม่ ว่าเงินก้อนนี้ สามารถใช้อะไรที่จำเป็นและเร่งด่วนกว่าดิจิทัลวอลเล็ต คือ เปลี่ยนรูปแบบของการกระตุ้น โดยเอาเงินก้อนนี้ไปจัดลำดับความสำคัญ ว่าอะไรที่จำเป็นสำหรับประเทศ ณ ขณะนี้ แล้วจะเกิดผลกับประเทศสูงสุด
ดังนั้น เงินก้อนนี้ทั้งก้อน จะเกิดประโยชน์ที่ตรงไหนสูงสุด จึงเน้นที่ตรงนั้นมากกว่า ไม่ได้บอกว่ายกเลิก เพราะสมมติถ้ากลับมาทำอีก ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่มันดีขึ้น แล้วการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบนี้ จะได้ผลมากที่สุด