ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 เป็นเรื่องปกติ เราให้ความสำคัญกับสายพันธุ์ที่ทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น แพร่เร็ว หรือ ติดต่อง่ายขึ้น ดื้อต่อยารักษาหรือวัคซีน
ซึ่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับเครือข่ายเฝ้าระวังสายพันธุ์มีการติดตามเก็บตัวอย่างตรวจสายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยมาตลอด เมื่อพบสายพันธุ์ใหม่ในแต่ละพื้นที่มีการรายงานและชี้แจงให้ทราบ เช่น สายพันธุ์เบตา เดลตา เป็นต้น
ส่วนสายพันธุ์เดลต้าพลัส AY.1 ตรวจพบ 1 ราย ที่ จ.กำแพงเพช กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า ยังไม่มีข้อมูลที่บอกว่ามีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดลตาเดิม จึงไม่มีนัยสำคัญที่ต้องทบทวนการเปิดประเทศแต่อย่างใด และการที่เราเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชาวต่างชาติ
สำหรับการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ขณะนี้มีความคืบหน้าพอสมควร มีการซักซ้อมที่สนามบิน 2 ครั้ง เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งการเข้าประเทศมีหลัก ๆ คือ กลุ่ม 45 ประเทศ 1 เขตบริหารพิเศษ ที่เดินทางเข้ามาไม่ต้องกักตัว มีมาตรการรองรับ 4 เรื่อง คือ
1.ผู้เดินทางฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม
2.ผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง
3.ตรวจหาเชื้อซ้ำเมื่อมาถึงเข้าพักโรงแรมระหว่างรอผล 1 คืน หากผลเป็นลบสามารถเดินทางได้ทุกที่ในประเทศไทย
4.การเดินทางจากสนามบินนานาชาติถึงโรงแรมเป็นระบบปิด (Sealed Route) โดยอยู่ห่างกันไม่เกิน 2 ชั่วโมง ส่วนเด็กที่เดินทางมากับผู้ปกครองอาจยังไม่ได้รับวัคซีนต้องตรวจเชื้อ หากพบผลบวกจะได้นำเข้าสู่การรักษา เพื่อไม่ให้แพร่ระบาดคนในประเทศ
ส่วนกรณีพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ท่องเที่ยวแต่ละจังหวัด จะมีการออกมาตรการรองรับ ซึ่งที่ผ่านมาเราติดตามควบคุมได้ดี เนื่องจากเดินทางโดยเครื่องบิน ที่ผ่านมาพบการติดเชื้อน้อย เมื่อพบติดเชื้อก็นำเข้าระบบการควบคุมรักษาได้ทันที
สำหรับกรณีข้อเสนอการเปิดประเทศรองรับประเทศเพื่อนบ้าน หากรับวัคซีนครบ ผลตรวจ ATK เป็นลบ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทย 1 วัน เพื่อจับจ่ายใช้สอยก่อนกลับประเทศ อยู่ระหว่างการประชุมหารือเพิ่มเติมเพื่อหาข้อสรุป ส่วนกรณีนักท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงต้องตรวจหาเชื้อโควิด โดยหลักการต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง