ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมเปิดการประชุมและจัดแสดงสินค้า “ทูน่าโลก ครั้งที่ 16” (The Sixteenth INFOFISH World Tuna Trade Conference and Exhibition – Virtual) หรือ “INFOFISH TUNA 2021” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 พฤษภาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก ทาง www.tuna2021.vfairs.com ว่า การประชุมและจัดแสดงสินค้าในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง INFOFISH ร่วมกับกรมประมง (DOF) สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย (TTIA) คณะกรรมาธิการปลาทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดีย (IOTC) คณะกรรมาธิการปลาทูน่าเขตร้อนทวีปอเมริกา (IATTC) และคณะกรรมาธิการประมงแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและตอนกลาง (WCPFC) ที่กำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ 2 ปี และประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมมาแล้ว 8 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งมุ่งหวังที่จะให้งานดังกล่าวเป็นการประชุมทางด้านวิชาการและการค้าปลาทูน่าของโลกที่ใหญ่ที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในอุตสาหกรรมปลาทูน่าอย่างรอบด้าน อาทิ ความรู้ทางวิชาการ สภาวะทรัพยากรปลาทูน่าทั่วโลก การบริหารจัดการทรัพยากรปลาทูน่า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การกำหนดมาตรการทางกฎหมายต่าง ๆ การค้าและการตลาด ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในเชิงธุรกิจ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการเจรจาทางธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายภายในงาน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน
สำหรับผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปลาทูน่านั้น เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีห่วงโซ่คุณค่าทางการค้าสูง อีกทั้งตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก ในปี 2020 มีรายงานว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าของโลก อยู่ที่ประมาณ 3,042,000 ตัน ปริมาณเพิ่มขึ้น 14.20% จากปี 2015 และการประมงปลาทูน่าเชิงพาณิชย์เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่ไม่ส่งผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Blue economy) ซึ่งปลาทูน่ากระป๋องหรือปลาทูน่าดิบ (ซาชิมิ) ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าที่มีความต้องการสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งโปรตีนที่สําคัญของโลก และทูน่ายังมีความสำคัญในห่วงโซ่อาหารในน่านน้ำเขตร้อนและเขตอบอุ่น ที่เกื้อกูลวิถีชีวิตความเป็นอยู่ชาวประมงพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมปลาทูน่ากําลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของปลาทูน่า และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าว่าไม่ได้มาจากการประมง IUU และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้งเป็นไปเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนของทรัพยากรปลาทูน่าของโลก
“ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ทูน่าที่มีคุณภาพให้กับตลาดโลก ได้ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของทรัพยากรปลาทูน่า ซึ่งถือว่าเป็นต้นทางที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปลาทูน่า โดยการสร้างระบบการควบคุม และระบบการตรวจสอบย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทราบแหล่งที่มาของปลาทูน่าว่ามาจากการทำประมงที่ถูกต้องและได้มาตรฐานสากล และขอสนับสนุนให้ทุกประเทศและทุกภาคส่วนได้ร่วมกันขับเคลื่อนดำเนินการ เพื่อให้อุตสาหกรรมปลาทูน่าเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และสนับสนุนการทำประมงที่ยั่งยืนภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป” ดร.เฉลิมชัย กล่าว