นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทน อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยถึงภาวะกล้ามเนื้อมือเกร็ง (Writer’s cramp) หรือ task-specific dystonia ซึ่งเป็นอาการเคลื่อนไหวผิดปกติในรูปแบบของการบิดเกร็งผิดรูปที่เกิดขึ้นเฉพาะบางท่าทาง เช่น เขียนหนังสือ พิมพ์ดีด เล่นดนตรี เล่นกีฬาบางชนิด เป็นต้น
อาการเกร็งจะหายไป เมื่อเลิกทำท่าทางนั้นหรือเมื่ออยู่เฉย ๆ โดยจะพบอาการเกร็งมือเวลาเขียนหนังสือได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยกลุ่มโรคนี้ ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกแน่นหรือเกร็งนิ้วมือ มือ ข้อมือ หรือแม้กระทั่งอาจลามถึงแขนเวลาใช้มือข้างนั้นเขียนหนังสือ ส่งผลให้ลายมือเปลี่ยนไป เขียนหนังสือช้าลง จนกระทั่งไม่สามารถเขียนหนังสือได้ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยประมาณ 10-20% อาจมีอาการของโรครุนแรงมากขึ้น จนมีอาการมือเกร็งเวลาทำกิจกรรมอื่นนอกจากเขียนหนังสือ เช่น จับช้อนหรือส้อมเวลาทานอาหาร ติดกระดุมเสื้อ เป็นต้น หรืออาจมีอาการเกร็ง ลามไปมืออีกข้างทำให้เป็นภาวะมือเกร็งทั้งสองข้างได้
ภาวะกล้ามเนื้อมือเกร็ง อาจเป็นอาการนำของการเกิดโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็งทั่วตัวที่เป็นกรรมพันธุ์ เป็นต้น สาเหตุของโรคเกิดจากสมองที่มีวงจรทำงานผิดปกติ โดยส่งผลให้เกิดการบิดเกร็งของร่างกายส่วนนั้น ๆ แพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยา และทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการเกร็ง แต่ผลการรักษามีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร
ในปัจจุบันการรักษาที่เป็นมาตรฐาน คือ การฉีดยาโบทูลินัม ในตำแหน่งของกล้ามเนื้อที่เกร็งเวลาเขียนหนังสือ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนอาจมีกล้ามเนื้อมืออ่อนแรงชั่วคราวได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังฉีด จากนั้นมือ จะกลับมามีแรงตามปกติโดยที่ไม่มีอาการเกร็งได้นาน 2-3 เดือน ทำให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ ดังนั้น หากมีอาการให้รีบไปพบแพทย์