นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทย ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบเริ่มชะลอตัวลง พบการระบาดในลักษณะ Small Wave กลุ่มที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 สูงสุดเป็น กลุ่ม 608 (ร้อยละ 95) เป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย หรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน
ซึ่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน จึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง และคำแนะนำจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ครั้งที่ 8/2565 วันที่ 9 ธันวาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบให้ กลุ่มเป้าหมายที่สมควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข้ารับวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด สามารถใช้วัคซีนที่มีอยู่ ไม่จำเป็นต้องรอวัคซีนรุ่นใหม่ (mRNA bivalent)
เนื่องจากวัคซีน mRNA monovalent ยังมีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อของสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบัน และลดความรุนแรงของโรคได้ดี เมื่อนำวัคซีน mRNA รุ่นใหม่ (bivalent) มาฉีดเป็นเข็มกระตุ้นในผู้ที่เคยได้รับวัคซีน mRNA รุ่นปัจจุบัน (monovalent) อย่างน้อย 2 เข็ม สามารถลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ประมาณร้อยละ 28-56
มีความปลอดภัยไม่ต่างกับวัคซีน mRNA รุ่นปัจจุบัน รวมทั้งคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก ฉบับวันที่ 17 ตุลาคม 2565 แนะนำว่า สามารถใช้วัคซีน mRNA ฉีดเป็นเข็มกระตุ้นทั้งรุ่นใหม่และรุ่นปัจจุบัน อยากเชิญชวนให้ทุกคนได้รับวัคซีน 4 เข็ม โดยนับจำนวนเข็มรวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดใด เนื่องจากขณะนี้มีความเสี่ยงสูงจากการระบาด
ทั้งนี้ ประชาชนควรได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเมื่อได้ฉีดมานานแล้วเกิน 4 เดือนขึ้นไป ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น 608 หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคปอด หัวใจ มะเร็ง กินยากดภูมิต้านทาน ฯลฯ จะสร้างภูมิต้านทานได้ไม่ดี จึงยังมีความจำเป็นที่ควรจะได้รับการกระตุ้น เข็ม 4 และผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงดี ก็สามารถรับวัคซีนได้ตามความสมัครใจ