ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ คดีที่ถูก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพร้อมพวกรวม 4 คน ฐาน “ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา
ประวัติ ธาริต เพ็งดิษฐ์
ธาริต เพ็งดิษฐ์ เกิดวันที่ 5 สิงหาคม 2501 ปัจจุบันอายุ 64 ปี เป็นคนอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เป็นหลานของ ร.อ.เจี๊ยบ เพ็งดิษฐ์ นายทหารคนใกล้ชิดจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งลาออกจากราชการและย้ายครอบครัวจากพระนครไปอยู่ที่จังหวัดชัยนาท หลังจอมพล ป.ถูกรัฐประหาร สมรสกับนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์
ธาริต เพ็งดิษฐ์ จบสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นเข้าศึกษาต่อในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น KU 37 แต่ด้วยความไม่ชอบและปรับตัวไม่ได้ กับระบบ “โซตัส” จึงลาออกไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จนสำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) และเนติบัณฑิตไทย รวมถึงนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนรับราชการอัยการ ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนกฎหมาย จนกระทั่งได้พบกับคณิต ณ นครในฐานะอาจารย์พิเศษ จึงแนะนำให้ธาริตไปสอบอัยการหลังเรียนจบนิติศาสตร์มหาบัณฑิต และธาริตก็สอบได้เป็นอัยการ จนกระทั่งทักษิณ ชินวัตรได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ไระดมนักกฎหมายหลายคน ในจำนวนนั้นมี ธาริต เพ็งดิษฐ์ อยู่ด้วย
หลังจากที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ธาริต เพ็งดิษฐ์ จึงได้รับแต่งตั้งให้ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทำงานกับ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ธาริต เพ็งดิษฐ์ ยังเป็นเป็นคณะที่ปรึกษาของพันศักดิ์ วิญญรัตน์อีกด้วย
ภายหลังจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการของหน่วยงานนี้เป็นคนแรก เมื่อมีการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ธาริต ได้โอนมาดำรงตำแหน่งรองอธิบดี จนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแทน ทวี สอดส่อง ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทั้งนี้ หลัง รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เขาถูกย้ายไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ ในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560 ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ และไม่เคยได้เข้ารับราชการอีกเลย จนล่าสุดถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญาดังกล่าว