นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า อาการปวดศีรษะเป็นหนึ่งในอาการที่ทุกคนเคยเจอมาแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอาการปวดศีรษะนั้นมีหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ “ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์” หรือ ภาษาอังกฤษเรียกว่า cluster headache จะพบได้ไม่บ่อยเท่าปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งผู้ป่วยส่วนหนึ่งได้รับการวินิจฉัยเป็นไมเกรน ทั้งที่ไม่ใช่
ถ้าได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ได้รับการรักษาที่ตรงจุด จะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ดีกว่าในผู้ป่วยบางรายอาการปวดรุนแรง ทำให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
ด้านนายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ พบบ่อยในผู้ชาย อายุที่พบเฉลี่ยประมาณ 40 ปี แต่อายุน้อยกว่านี้ก็สามารถพบได้ และระยะหลังมานี้สามารถพบในผู้หญิงได้ไม่น้อยเช่นกัน
ลักษณะการปวดมักจะรุนแรงที่รอบเบ้าตา หรือ ขมับข้างใดข้างหนึ่ง ร่วมกันกับมีอาการของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ตาแดง น้ำตาไหล เปลือกตาบวม คัดจมูกข้างเดียวกับที่ปวด โดยมีระยะเวลาปวด 15 นาที จนถึงสามชั่วโมง
ลักษณะเด่น ที่ช่วยในการวินิจฉัยคือ มักมีอาการปวดเวลาเดิมๆของวัน เช่น มักปวดตอนสิบโมงเช้า ตีหนึ่ง เป็นต้น และอาจมีอาการปวดแบบนี้ ได้ตั้งแต่วันเว้นวัน จนถึง 8 ครั้งต่อวัน และปวดไปเช่นนี้ติดต่อเกือบทุกวันไปเป็นอาทิตย์ จนถึงสองสามเดือนแล้วหาย และจะวนกลับมาเป็นอีกในช่วงเวลาเดิมๆของปีถัดๆไป
ลักษณะที่มีปวดติดต่อกันเป็นช่วงๆแบบนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อ คลัสเตอร์ ปัจจุบันมีข้อมูลว่าโรคนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัส การวินิจฉัยโรคแพทย์ทำการซักประวัติร่วมกับการตรวจร่างกายและส่งตรวจเอ็กซเรย์ระบบประสาท เพื่อแยกจากโรคที่อาจมีอาการคล้ายกัน จากนั้นแพทย์จะให้การรักษา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.การรักษาระหว่างปวด เช่น ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์เร็ว การให้ออกซิเจนทางหน้ากากครอบจมูก
2.การป้องกันหรือลดระยะเวลาที่ปวด เช่น การฉีดยารอบเส้นประสาท occipital และการใช้ยาอื่นๆที่จำเพาะต่อโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์
ทั้งนี้ โรคปวดศีรษะมีหลายประเภทซึ่งมีสาเหตุที่แตกต่างกัน การซื้อยาแก้ปวดทานเองบ่อยครั้งอาจกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะเป็นมากขึ้น และเกิดอันตรายได้ เมื่อมีอาการปวดศีรษะควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสมสามารถทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นได้