นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็น “การเพิ่มสิทธิประโยชน์เมื่อปรับเพดานค่าจ้าง” โดยกล่าวว่า กองทุนประกันสังคมจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนใช้จ่ายสําหรับให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งเป็นเวลา 34 ปีแล้ว ที่กองทุนประกันสังคมอยู่เคียงข้างผู้ประกันตน เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ประกันตน
การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น “การเพิ่มสิทธิประโยชน์เมื่อปรับเพดานค่าจ้าง” ในครั้งนี้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการ ปรับเพดานค่าจ้าง ในรูปแบบขั้นบันได 3 ครั้ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อนายจ้างและผู้ประกันตน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.ในปี 2569 – 2571 ปรับเป็น 17,500 บาท
2.ในปี 2572 – 2574 ปรับเป็น 20,000 บาท
3.และขั้นสุดท้าย ในปี 2575 เป็นต้นไป ปรับเป็น 23,000 บาท
ด้านนางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า สำนักงานประกันสังคมปรับปรุง สิทธิประโยชน์ที่ไม่ได้อิงกับฐานเพดานค่าจ้าง ให้แก่ผู้ประกันตนตลอดมา เพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เช่น
- กรณีคลอดบุตร ในปี พ.ศ. 2538 ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินจำนวน 4,000 บาท/ครั้ง ในปัจจุบันเพิ่มเป็นเงินจำนวน 15,000 บาท/ครั้ง
- เงินสงเคราะห์บุตร ในปี พ.ศ. 2541 ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นเงินจำนวน 150 บาท/เดือน/บุตร 1 คน สูงสุด 2 คน ในปัจจุบันเพิ่มเป็น 800 บาท/เดือน/บุตร 1 คน สูงสุด 3 คน
- กรณีตาย เงินค่าทำศพ ในปี พ.ศ. 2538 จ่ายเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท ปัจจุบันเงินเพิ่มเป็นค่าทำศพ 50,000 บาท เป็นต้น
ส่วน สิทธิประโยชน์ที่อิงกับฐานเพดานค่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็น
- เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีว่างงาน
- เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร
- เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต
- เงินบำเหน็จ – บำนาญชราภาพ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อไม่มีการปรับฐานเพดานค่าจ้าง ทำให้ผู้ที่มีค่าจ้างมากกว่า 15,000 บาท ถูกจำกัดสิทธิประโยชน์ไว้ และไม่สอดคล้องกับค่าจ้างจริงในปัจจุบัน จึงสมควรปรับปรุงฐานเพดานค่าจ้างให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ อันเป็นที่มาของการประชุมรับฟังความคิดในวันนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ประกันตนต่อไปในอนาคต