นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการดูแลระบบประกันสังคมคุ้มครองทั้ง 7 กรณี ตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้ายของผู้ประกันตน ( เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน)
ซึ่งระบบประกันสุขภาพของผู้ประกันตนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิทธิประโยชน์ใน 7 กรณีดังกล่าว ที่มีการให้ทั้งบริการทางการแพทย์และเงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้ ทั้งนี้ เงินที่ใช้จ่ายในการจัดระบบสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมทั้ง 7 กรณีมาจากการจัดเก็บเงินสมทบ 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ประกันตน นายจ้าง และรัฐบาล
ปัจจุบันมีผู้ประกันตนในระบบกว่า 24.73 ล้านคน ประกอบด้วย ผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 (ประกันสังคมภาคสมัครใจแรงงานอิสระ) ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน คณะกรรมการการแพทย์ และสำนักงานประกันสังคม ให้ความสำคัญในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ด้านการรักษาที่มีคุณภาพครอบคลุมทุกโรคอย่างทั่วถึง อาทิ
1.ด้านทันตกรรม
- คุ้มครองครอบคลุมบริการ ถอนฟัน ผ่าฟันคุด อุดฟัน ขูดหินปูน เบิกได้ในอัตรา 900 บาท/คน/ปี
- สามารถเข้ารับบริการในสถานพยาบาล หรือคลินิกทันตกรรมที่ MOU ได้ทุกแห่ง ทั้งรัฐและเอกชน มากกว่า 20,196 แห่ง โดยผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย
- จัดบริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ให้บริการ ณ สถานประกอบการ
- สามารถเบิกฟันเทียมไม่จำกัดวัสดุได้สูงสุดไม่เกิน 4,400 บาทต่อปี
- กรณีบริการรักษาโรคทางช่องปาก ครอบคลุมอยู่ในเหมาจ่ายของสถานพยาบาลที่กำหนดสิทธิ รวมทั้งอยู่ระหว่างการปรับเพิ่มสิทธิ เพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงสิทธิในการดูแลช่องปากและฟันอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
2.ยกระดับการรักษา 5 โรคสำคัญ
- 5 โรคสำคัญ ได้แก่ หัวใจและหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, นิ่วในไตและถุงน้ำดี, มะเร็งเต้านม, และก้อนเนื้อที่มดลูกและหรือรังไข่
- ผู้ประกันตนได้รับการผ่าตัดรักษาภายใน 15 วัน โดยผู้ประกันตนสามารถเดินทางไปรับการรักษา ณ โรงพยาบาลตามสิทธิ หรือ โรงพยาบาลที่ทำความตกลง (MOU) ลดระยะเวลาการรอคอยการผ่าตัด ลดภาวะแทรกซ้อนไม่ให้อาการของโรคมีความรุนแรงมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลาการพักฟื้น ส่งผลให้ผู้ประกันตนกลับไปทำงานได้อย่างรวดเร็ว และขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.เพิ่มทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็ง
- นอกเหนือจากการรักษาที่สถานพยาบาลตามสิทธิ ยังสามารถเลือกรักษากับสถานพยาบาลที่มีศักยภาพและเชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็งตามที่สำนักงานกำหนดเพิ่มเติมได้
- ครอบคลุมรักษา โรคมะเร็งได้ทุกชนิด
- สนับสนุนค่ายาในบัญชียาหลักแห่งชาติ และนอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาฮอร์โมนและค่ายามุ่งเป้า ซึ่งเป็นยาราคาสูงที่อยู่ในบัญชียา จ(2) และการจ่ายเพิ่มเติมค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ
4.การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
- กรณีปลูกถ่ายไขกระดูก คุ้มครอง 8 โรค โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ป่วยในการรับบริการ
- กรณีปลูกถ่าย โดยใช้เนื้อเยื่อตนเอง หรือพี่น้อง หรือเนื้อเยื่อผู้บริจาคที่บริจาคผ่านสภากาชาดไทย ในอัตรา 750,000-1,300,000 บาท/ราย
5.การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
- เน้นการป้องกันดีกว่าการรักษา โดยนอกจากจะตรวจสุขภาพพื้นฐานสำหรับคนไทยทุกสิทธิของ สปสช. 24 รายการ ได้แล้ว กองทุนประกันสังคมยังเพิ่มเติมสิทธิการตรวจสุขภาพให้กับผู้ประกันตนเพิ่มเติมจากสิทธิพื้นฐาน ทั้งเพิ่มความถี่ ช่วงอายุ และรายการในการตรวจสุขภาพที่จำเป็นเพิ่มขึ้น เช่น การตรวจมะเร็งเต้านม ตรวจการทำงานของไต คัดกรองการได้ยิน การเอ็กซเรย์ทรวงอก เป็นต้น โดยผู้ประกันตนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
- จัดบริการตรวจสุขภาพเชิงรุกไปยังสถานประกอบการและชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงการตรวจสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว
- ติดตามประเมินผลสุขภาพของผู้ประกันตน และมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ให้ผู้ประกันตนอายุ 50 ปีขึ้นไปด้วย
6.ด้านการให้บริการ
- กำหนดให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกสถานพยาบาลที่ประสงค์จะเข้ารับการรักษาได้ด้วยตนเอง โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนสามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมของทุกปี
- หากระหว่างปีผู้ประกันตนมีการย้ายที่อยู่หรือย้ายสถานที่ทำงาน ก็จะสามารถแจ้งขอเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาลได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ขอบคุณข้อมูล สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน – Social Security Office