นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นประมาณวันละ 5 แสนคน เสียชีวิตคงที่ประมาณ 8 พัน ถึง 1 หมื่นคนต่อวัน โรคโควิดได้กลายเป็นโรคติดเชื้อประจำถิ่นทั่วโลก แม้แต่ประเทศที่เคยควบคุมสำเร็จ หรือประเทศที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว 50-60% ของประชากร ก็เกิดการระบาดระลอกใหม่และติดเชื้อสูงขึ้นใหม่อีกครั้ง
เช่น สหรัฐอเมริกาฉีดวัคซีนแล้ว 50% ของประชากร ยังมีการติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้น ในหลายรัฐ โดยเฉพาะรัฐที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครอบคลุม หรืออังกฤษเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ผู้ป่วยรายใหม่น้อยกว่า 1 พันรายต่อวัน ตอนนี้สูงถึง 4 หมื่นรายต่อวัน หลังจากผ่อนคลายมาตรการ แต่ผู้เสียชีวิตไม่ได้สูงเป็นพันคนเหมือนช่วงก่อน ยังอยู่ระดับที่ต่ำกว่าร้อยคน
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อใหม่หลักหมื่นรายต่อวันตลอดทั้งสัปดาห์ วันนี้มีผู้ติดเชื้อ 14,575 ราย เสียชีวิต 114 ราย มีการระบาดในชุมชนและครอบครัวเป็นวงกว้าง ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มเป็น 2-3 เท่าในทุกสัปดาห์ ขณะนี้ แนวโน้มอัตราเพิ่มขึ้นในต่างจังหวัดเริ่มชันมากกว่ากรุงเทพและปริมณฑล ส่วนแนวโน้มการเสียชีวิตเดือนที่แล้วต่ำกว่า 50 รายต่อวัน ขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 100 รายต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเพิ่มความเข้มข้นมาตรการสาธารณสุขและสังคม ร่วมกับการระดมฉีดวัคซีน พบข้อมูล กทม.การเพิ่มจำนวนการติดเชื้อเริ่มชะลอตัวลง ไม่ได้เพิ่มสูงเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลจากมาตรการที่ทุกฝ่ายพยายามช่วยกันดำเนินการ ส่วนแนวโน้มผู้เสียชีวิตคาดว่า สัปดาห์ถัดคงไม่สูงไปกว่า 100 รายต่อวันจากจำนวนการติดเชื้อที่เริ่มชะลอและการฉีดวัคซีน
นายแพทย์ทวีทรัพย์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ฉีดวัคซีนโควิด 19 สามารถฉีดได้ประมาณ 3 แสนโดสต่อวัน ปัจจุบันฉีดสะสม 15,388,939 โดส โดยเป้าหมายการฉีดวัคซีนมี 3 ประการ คือ
1.ลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
2.ปกป้องระบบสุขภาพ
3.กลับเข้าสู่การใช้ชีวิตประจำวัน โดยยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ได้ฉีดวัคซีนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อธำรงการควบคุมโรคและรักษาพยาบาลได้อย่างต่อเนื่องแล้ว
ส่วนเป้าหมายที่ 2 ในการลดการเสียชีวิตและการป่วย ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ การฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
ที่มีจำนวน 12.5 ล้านคน ฉีดไปแล้ว 2.4 ล้านคนคิดเป็น 20% ผู้ป่วยกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง มีเป้าหมาย 5.3 ล้านคน ฉีดแล้ว 1.2 ล้านคน คิดเป็น 23.4% รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากระยะหลังพบการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น โดยทั้ง 3 กลุ่มจะฉีดให้ครอบคลุมในพื้นที่ระบาดสูงสุดก่อนและเรียงตามประชากรกลุ่มอื่นและพื้นที่อื่นต่อไป
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่รับซิโนแวค 2 เข็มแล้ว กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายให้ฉีดเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์โดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการป้องกันการติดเชื้อให้กับบุคลากรที่ต้องทำงานเสี่ยงสูงและมีโอกาสสัมผัสการติดเชื้อ เนื่องจากซิโนแวคเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย การฉีดกระตุ้นจึงควรใช้วัคซีนรูปแบบอื่น โดยอาจเป็นไวรัลเวคเตอร์ คือ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า หรือ mRNA คือวัคซีนไฟเซอร์ก็ได้ โดยการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า วัคซีนทั้งสองรูปแบบสามารถกระตุ้นเพิ่มภูมิต้านทานให้เพิ่มสูงขึ้นมากได้ ไม่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามีอยู่แล้ว จึงสามารถฉีดกระตุ้นได้เลย ส่วนวัคซีนไฟเซอร์หากได้รับมาเมื่อใด ก็สามารถนำเข้ามาก็ฉีดได้เช่นเดียวกัน เร็วๆ นี้ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ บริจาค 1.5 ล้านโดส จะทำให้มีประเทศไทยมีวัคซีนหลัก 3 ชนิด และสามารถใช้ไฟเซอร์เป็นเข็มกระตุ้น และยังสามารถเพิ่มความครอบคลุมการฉีดให้กับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค โดยเฉพาะพื้นที่มีการระบาดสูงให้ได้ความครอบคลุมโดยเร็ว